วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สถาปนิก คืออะไร What's Architecture

สถาปนิก

คือนักออกแบบที่การออกแบบทุกอย่างนั้นต้องผ่านขบวนการคิดวิเคราะห์ต่างๆถึงจะออกมาเป็นผลงานได้
บางคนอาจจคิดว่า การสร้างสิ่งก่อสร้างแค่แปลกๆก้อดังแล้ว มันไม่ใช่แบบนั้น
ผมจะยกเคสตัวอย่างให้

1. โรงพยาบาล สถาปนิกต้องรู้ทุกอย่างถึงกิจจกรรมที่เกิดขึ้นที่นั่นเช่น หมอต้องทำอะไรมั่งในห้องผ่าตัด บริเวณที่โครงการคน
มีคนไข้เยอะมั้ยต่อวัน ทำให้การออกแบบแต่ละครั้งแต่ละที่จะไม่เหมอืนกัน

2. บ้าน สถาปนิกจะต้องรู้ว่า ผู้อาศัยกลับเวลาไหน ตื่นกี่โมงต้องทำอะไรมั่งในแต่ละวัน ทำงานอะไรมีรถมั้ย เดินทางยังไง
ผุ้อาศัยมีอารมณืแบบไหน และอีกมากมายที่ต้องวิเคราะห์

นี่เป้นยกตัวอย่างคร่าวๆว่า ก่อนที่เค้าจะออกแบบได้นั้นข้อมูลพวกนี้มันจะต้องวิ่งอยู่ในหัวตลอดเพื่อขบวนการคิดที่อ้างอิงจากผู้ใช้สอย
อย่างบางคนที่บอกว่า
สร้างแปลกๆเข้าว่าสินะ ลองไปถามได้เลยครับว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้เค้าตรอกคุณกลับหน้าหงายแน่

เพราะฉะนั้นผมอยากจะบอกว่า อย่าดูถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็น นักออกแบบ ทุกงานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมานั้นได้ผ่านขบวนการคิดมาหมดแล้ว
เอาเป็นว่าคณะสถาปัตย์นั้นเรียน 1วิชาในหนึ่งวัน เท่ากับคณะอื่นบางคณะเรียน 3 วิฃาใน1วันเลยนะครับ

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หอเอน เมืองปิซ่า

หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี

หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา

กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้

ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา

ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง

ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย

นอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย*

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิธีดื่นน้ำแบบถูกวิธี

น้ำดื่มและการดื่มน้ำ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทย ส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิด ก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำ ยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็น พิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติ ดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆ พร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณ ว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวัน ละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือ เปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อนน้ำที่เข้าสู่ร่าง กายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกาย ทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และ ทางลมหายใจ แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทาง หลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะ ออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถ ขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้อีกสามทางที่ เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน


เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน ครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกัน คร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของ ร่างกาย

สูตรคือ


(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือ ประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ


ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไป ถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือด ลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลยบางคนบอกว่าประจำเดือนมา น้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไป สร้างเลือดละครับแต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็ เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ



ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำ เย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็น เข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของ เสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระ ออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ ควรจะทานของเย็นๆครับ ทาน น้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว



ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วง ไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสอง แก้ว ข้อ นี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็น การกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ


คนเรามักทำอะไรเพลินเสีย จนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะ เป็นเวลาทานข้าวเขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิดผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลย ครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่าง กายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหารเมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียว กับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำ คือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้ มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควรก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับในที่นี้หมายรวม ถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับและอย่า ดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้ จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ


ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปาก เนี่ยนะ)หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัวเบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ


ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิพอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปาก ทันทีอีกด้วยครับ โดย เฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น


มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับเพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหาร สัก 1-2 ชม. ขณะ ท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วยเหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้า ทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็น ไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัด ลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการ ใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรองทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไรอีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเ สียครับยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆพวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณ มากผสมน้ำนำมาขายแต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วยกาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟ หอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกิน ก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ

ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เรื่องไม่น่าทำ..ที่หลายคนยังทำกันอยู่

1. โทร.หาแฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้ว
2. กินข้าวมื้อเย็นตอน 4 ทุ่ม...แล้วบ่นว่าอ้วน
3. บีบสิว
4. หลับทั้งชุดทำงานซะงั้นน่ะ
5. ขับรถฝ่าไฟแดง..ก็แหม มันติดพัน
6. รักคนมีเจ้าของ...เฮ่อ มันก็ต้องมีกันบ้าง
7. สูบบุหรี่
8. ไม่แปรงฟัน และไม่อาบน้ำก่อนเข้านอน
9. รับโทรศัพท์ในโรงหนัง..ใครยังทำอยู่เลิกซะ
10. โทร.หา(ผู้ชาย)อีกคน ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณโทร.หาคนที่อยากคุยด้วยไม่ได้
11. เมา..เพื่อลืมคนรัก
12. เถียงแม่หรือพ่อ..ยังไงซะผู้ใหญ่ก็ถูกเสมอ แต่ก็ขอหน่อยเถอะ
13. แอบส่งสายตาให้แฟนเพื่อน ก็บางทีของๆเพื่อนหล่อจนระงับใจไม่ได้จริงๆ
14. ใส่รองเท้าที่เล็กกว่าเท้า 1 เบอร์ ถึงเจ็บก็ยอม ขอให้สวย
15. พยายามปัดมาสคาร่าให้ตาเด้งกลบเกลื่อนหลังถูกเขาบอกเลิก ร้องออกมาเถอะน่า
16. แคะขี้มูกในที่สาธารณะ
17. ปล่อยให้ยาทาเล็บถลอกคานิ้ว โดยไม่คิดล้างออก
18. ขอยืมเงินแม่ แต่ไม่มีกำหนดคืน
19. ขาใหญ่ แต่อยากใส่สั้น...
20. ยังคงใช้ครีมบำรุงผิวที่หมดอายุไปแล้ว เพราะเสียดาย..ระวังหน้าพังน๊า
21. เกาๆๆๆๆเวลายุงกัด และบางทีก็เหวี่ยงไม้ตียุงอย่างเมามัน ถึงจะบาปยังไงก็เถอะ
22. แอบเอาเสื้อตัวใหม่ที่พี่สาวซื้อมาแล้วยังไม่ได้ใส่ มาใส่ก่อน
23. บอกว่า 'เปล่า' ทั้งที่ในใจมีอะไรจะระเบิดเต็มที่
24. กลับไปถึงบ้านแล้วนั่งแช่มันอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมลุกไปทำอะไรสักที
25. ใส่กางเกงยีนส์ซ้ำ 4 วันติดๆๆกัน
26. โทร.บอกเลิกนัดตอนถึงเวลานัด
27. เม้าท์เพื่อน
28. โทร.ผัดผ่อนชำระบัตรเครดิต ตอนเลยกำหนดไปแล้วหลายวัน (มันไม่ช่วยไรนะ)
29. จอดรถในที่ห้ามจอด..ระวังละกัน
30. หน้าอกไม่มี แล้วใส่เสื้อในเสริมไร้สายทับด้วยสายเดี่ยวรัดรูป หน้าอกเป็นกระเปาะ
31. ทิ้งแก้วกาแฟไว้ที่โต๊ะทำงาน แล้วใช้ต่อโดยไม่ล้างในวันถัดไป
32. คุยโทรศัพท์ระหว่างนั่งถ่ายท้องในห้องน้ำสาธารณะ
33. กลั้นอึตอนออกจากบ้าน อ้างว่าขี้เกียจ แล้วต้องมาอดทนทีหลัง
34. กินหนังไก่ทอด คอหมูย่าง เนื้อติดมัน กากหมู แหนมสด มาม่าแห้ง
35. เอาลิ้นดุนๆเศษอาหารที่ติดฟันในเดทแรก..มันทนไม่ได้จริงๆ
36. 'ลดอีกบาทน่ะเฮีย..' บาทนึงก็ยังขอต่อหน่อยเถอะ
37. รู้มานานว่าเราเท้าบาน แต่ยังใส่รองเท้าเปลือย
38. ทำเป็นหลับบนรถเมล์ เวลามีเด็กนักเรียนขึ้นมา
39 เถียงกับตำรวจจราจรกลางถนน...เฮ่อ เถียงไงก็ต้องจ่าย จะมากจะน้อยก็จ่าย
40. แอบดึงกางเกงในออกจากร่องก้นในที่สาธารณะ
41. ออกเดทกับคนที่คุณไม่ชอบ เพราะหวังว่าเขาจะชอบขึ้นมาสักวัน
42. ซื้อไว้ก่อน ก็มัน SALE นี่นา
43. ไม่มีตังค์..ก็รูดบัตรเครดิตไปก่อน
44. โกนขนรักแร้...รู้กันอยู่ว่าเวลามันขึ้นใหม่จะเป็นตอ
45. โทร.หาคนที่แอบปิ๊ง...เวลาเมา
46. ตื่นสาย..ไปทำงานสาย...เข้าประชุมสาย!!

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

9 อันดับโน้ตบุ๊กที่เริ่ม“เอ๋อ“ภายใน 3 ปี


Square Trade ผู้ให้บริการรับประกันเครื่องคอมพิวเตอร์รายใหญ่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ อันดับของผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กที่มีเปอร์เซ็นต์ความผิดปกติของการทำงาน (malfunction) ภายใน 3 ปี โดยโน้ตบุ๊กที่มีความผิดปกติของเครื่องต่ำสุดได้แก่ Asus ในขณะที่เปอร์เซ็นต์สูงสุดเป็น HP ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดโน้ตบุ๊กที่มีผู้ใช้มากที่สุด


SquareTrade ได้ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราความเสียหายของโน้ตบุ๊กภายใน 3 ปี โดยจัดอันดับตามเปอร์เซ็นต์ความเสียหายของเครื่องที่มีการเอาประกันกับ ทางบริษัท ซึ่งผลปรากฎว่า โนัตบุ๊กของ Asus มีเปอร์เซ็นต์ความผิดปกติของการทำงานภายใน 3 ปีต่ำสุดอยู่ที่ 15.6% ตามด้วย Toshiba (15.7%) และ Sony (16.8%) ส่วนโน้ตบุ๊กของ HP มีเปอร์เซ็นต์ความผิดปกติของเครื่องสูงสุดคือ 25.6% อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้วพบว่ามากกว่า 31% ของโน้ตบุ๊กทั้งหมดจะมีความผิดปกติ
ภายใน 3 ปีแรก


นอก จากนี้ทางบริษัทยังได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเน็ตบุ๊ก (Netbook) ด้วย โดยข้อสรุปที่น่าตกใจก็คือ โดยเฉลี่ย 20% ของเน็ตบุ๊กจะมีปัญหาภายในปีแรก ตามมาด้วยโน้ตบุ๊กสำหรับผู้ใช้ระดับกลาง และไฮเอ็นด์


Square Trade กล่าวว่า ผลการวิจัยข้อมูลในครั้งนี้ทางบริษัทได้สุ่มเลือกแลปทอป และเน็ตบุ๊กมากกว่า 30,000 เครื่องที่อยู่ในแผนการรับประกันของทางบริษัท โดยแต่ละแบรนด์ที่สุ่มขึ้นมาจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 1000 เครื่้อง ซึ่งได้แก่ Acer, Apple, Asus, Dell, Gateway, HP, Lenovo, Sony และ Toshiba สำหรับความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือซอฟต์แวร์จะไม่ได้ถูกนับรวมในการจัดทำสถิติครั้งนี้


วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

30 ข้อ ที่ผู้หญิงเถียงไม่ออก

1.ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแต่มีของ 4 อย่างที่ผู้หญิงต้องหยุดดู..ตุ้มหู กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้า

2.ผู้หญิงชอบกินเค้กช็อกโกแลตและชอบบ่นว่าตัวเองอ้วน

3.เวลาเธอถามว่าเธออ้วนไปหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบว่าเปล่า เธอจะไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณตอบว่าอ้วน เธอก็จะโกรธ

4.หากจะอธิบายเรื่องเวรกรรมให้ผู้หญิงเข้าใจให้ยกเรื่องสลิปบัตรเครดิตมาเป็นตัวอย่าง

5.ผู้หญิงชอบให้คนมาจีบ แต่ไม่ได้ชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ

6.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับครีมทาผิวและโฆษณาครีมทาผิวทุกตัวได้ผลเสมอ

7.ผู้หญิงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินช็อปปิ้ง และหากนับก้าวระหว่างที่เธอเดิน คุณคงไม่เชื่อในระยะทางที่วัดได้

8.เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีอะไร แปลว่ามีอะไร และผู้ชายไม่รู้หรอก (เฉลยไปเลย)

9.เวลาผู้หญิงร้องไห้ เธอจะต้องการการปลอบโยน แต่ถ้าไปถาม เธอจะบอกว่า “ไม่ต้อง”

10.ผู้หญิงสนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายของกระเป๋าหรือตุ้มหู อย่าถามความเห็นของ

คุณผู้ชายเลยเพราะเขามองไม่ออกจริงๆ

11.ผู้หญิงใช้ลิปสติกไม่เคยหมดแท่ง

12. ผู้หญิงชอบสมัครฟิตเนสและจินตนาการว่าตัวเองจะฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นในสามเดือนข้างหน้า แต่หลังสมัครเสร็จเธอ

จะแวะไปที่ร้านกิฟท์ช็อปที่อยู่หน้าฟิตเนสและนานๆ จะมาที่นี้สักที

13.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับดอกไม้ เมื่อได้รับดอกไม้ยิ่งช่อใหญ่ยิ่งดี

14.ผู้หญิงจำวันทุกวันเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่เจอ วันแรกที่คบ วันครบรอบ วันเกิด และวันอะไรอีกมากมายและ

นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เธอทะเลาะกับแฟน

15.ผู้หญิงชอบอ่านดวงในแมกกาซีนและบอกว่าแม่นมาก โดยที่ผู้ชายไม่ค่อยเชื่อ

16.คำขอโทษที่ดีที่สุดคือ “ไปช็อปปิ้งมั้ย?”

17.ผู้หญิงไม่รู้ว่าที่เปิดกระโปรงรถอยู่ไหน เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดมันไปทำไม หรือถึงเปิดเป็นก็ไม่รู้จะทำอะไรกับมันดี

18.เวลาทะเลาะกัน เธอจะบอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว แต่หลังจากวางหู เธอจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ

พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่าๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่า ว่าตอนนั้นทำไมไม่โทรมา (อ้าว)

19. ผู้หญิงสนใจเรื่องราวของเพื่อนเรากับแฟน(ของเพื่อนเรา)มากกว่าตัวเรา(ที่เป็นเพื่อนมันจริงๆ)เสียอีก

20.ผู้หญิงกินข้าวเป็นมื้อจริงๆ น้อย กินขนมระหว่างมื้อเยอะ

21.ผู้หญิงผมตรงอยาผมหยิก ผู้หญิงผมหยิกอยากผมตรง

22.กระเป๋าถือของผู้หญิง มีน้ำหนักมากกว่าสายตาประเมิน และข้างในบรรจุของไว้มากมาย แม้เธอจะไม่ใช้ทุกอย่างก็ตาม

23.เวลากลุ่มเพื่อนผู้หญิงนัดกัน มักจะเม้าท์เรื่องของแฟนอย่างสนุกสนาน ผู้ชายรู้ดีเลยแค่ขับรถไปส่งแล้วค่อยไปรับตอนจะกลับอีกครั้ง

24.ตุ๊กตาส่วนใหญ่ไม่มีปาก เพราะมีผลการวิจัยว่า การไม่มีปากทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนว่าตุ๊กตากำลังรับฟังและ

เข้าใจความรู้สึกของธอ ไมว่าเธอจะรู้สึก สุข เศร้า เหงา และรัก

25.ในที่ทำงาน มักจะมีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่ไม่ค่อยถูกกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงด้วยกัน อย่างน้อยก็คู่หนึ่งละ

26.เวลาผู้หญิงนินทากันเอง แม้ผู้ชายจะทำหน้าเฉยๆ แต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

27.ผู้หญิงทุกคนต้องมีตู้เสื้อผ้าสองตู้ขึ้นไป และเมื่อถึงสี่ตู้เมื่อไหร่จะเริ่มบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ให้คนอื่น และ

ตอนที่เริ่มโละของจะมีประโยคประเภท “เสื้อตัวนี้ยังไม่ได้ใส่เลย!!!”

28.ผู้หญิงมีเคล็ดลับในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่นติดรูปถ่ายคู่ไว้ในกระเป๋าตังค์ของเขาเอาตุ๊กตาไว้หน้ารถเขา

วางตุ้มหูระยิบระยับไว้ที่ห้องรับแขกในบ้านเขา ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยที่แฝงไปด้วยเทคนิคล้ำเลิศ

29.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยประโยค “วันนี้คุณสวยจัง” จะทำให้เธออารมณ์ดีไปทั้งวัน

30.ดูเหมือนว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบช็อปปิ้ง ฝันอยากขึ้นปกแมกกาซีนและอยากรักกับพระเอกฮอลลีวู้ด

แต่ความจริงคงยากที่ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงทุกคนจึงมีอีกความฝันเล็กๆ อีกอันซ่อนอยู่ นั่นก็คือ


การได้ทำกับข้าวเย็นให้แฟน นั่งดูทีวีด้วยกันตอนค่ำ นอนกอดกันตอนหลางคืน ตื่นมาจัดที่นอนและตื่นขึ้น

มาเตรียมข้าวเช้าให้ และอยากให้เขาบอกว่า “ผมรักคุณ” และหอมแก้มหนึ่งทีก่อนไปทำงาน (คุณว่าจริงมั้ย)

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สถิติอนิเมะฉายโรงญี่ปุ่น เรื่องไหนแรงกว่ากันแน่!?

จากการออกตัวอย่างแรงของอนิเมะจอเงินที่ทุกคนอยากดู Suzumiya Haruhi no Shoushitsu เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึงขนาดว่ามีคนไปต่อแถวรอซื้อตั๋วถึง 500 คน แล้วยังมีซื้อตั๋วล่วงหน้าคนเดียว 30 ใบ อย่างที่เรารู้กันไปแล้ว และจากการฉายเพียงสองวันในช่วงสุดสัปดาห์(เสาร์ อาทิตย์) ก็ทำเงินไปได้ถึง 89,010,100 เยน ติดชาร์ตอันดับ 7 ไปเรียบร้อย

แต่ทว่า!! ถึงพระเจ้า H จะมาแรงยังไง แต่ก็ยังไม่ใช่เจ้าสถิติอนิเมะที่เข้าฉายช่วงสุปสัปดาห์ เพราะว่ายังมีเรื่องก่อนหน้าที่แรงกว่านี้มาแล้ว ไอ้นี่ล่ะ ที่เราจะเอามาให้ชมกันว่าใครแรงกันแค่ไหน วัดกันไปเลย(ฮา) แค่นี้คงอยากรู้กันแล้วไปดูเองเลยดีกว่า!!

One Piece Strong World
รายได้เฉลี่ย 5,520,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 188 โรง
จำนวนผู้ชม 818,738 คน
รายได้รวม 1,038,439,600 เยน
เฉลี่ย 1,268 เยน ต่อคน

Evangelion 2.0
เฉลี่ย 4,270,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 120 โรง
จำนวนผู้ชม 354,852 คน
รายได้รวม 512,182,000 เยน
เฉลี่ย 1,443 เยน ต่อคน

The disappearance of Suzumiya Haruhi
เฉลี่ย 3,700,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 24 โรง
จำนวนผู้ชม 60,306 คน
รายได้รวม 89,010,100 เยน
เฉลี่ย 1,476 เยน ต่อคน

Evangelion 1.0
เฉลี่ย 3,340,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 84 โรง
จำนวนผู้ชม 236,158 คน
รายได้รวม 280,424,200 เยน
เฉลี่ย 1,187 เยน ต่อคน

Nanoha movie 1st
เฉลี่ย 3,322,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 19 โรง
จำนวนผู้ชม 39,863 คน
รายได้รวม 61,292,300 เยน
เฉลี่ย 1,538 เยน ต่อคน

Fate Stay/Night Unlimited Blade Works
เฉลี่ย 3,140,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 12 โรง
จำนวนผู้ชม 24,407 คน
รายได้รวม 37,699,500 เยน
เฉลี่ย 1,545 เยน ต่อคน

Macross F movie
เฉลี่ย 2,940,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 30 โรง
ไม่ทราบจำนวนผู้ชม
รายได้รวม 88,154,771 เยน
เฉลี่ย 1,436 เยน ต่อคน

Pokemon Arceus
เฉลี่ย 2,690,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงที่เข้าฉาย 366 โรง
จำนวนผู้ชม 946,855 คน
รายได้รวม 983,880,680 เยน
เฉลี่ย 1,039 เยน ต่อคน

Eureka Seven movie
เฉลี่ย 1,750,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 6 โรง
จำนวนผู้ชม 6,484 คน
รายได้รวม 10,499,200 เยน
เฉลี่ย 1,436 เยน ต่อคน

Meitantei Conan Shikkoku no chaser
เฉลี่ย 1,730,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 341 โรง
จำนวนผู้ชม 501,732 คน
รายได้รวม 593,272,350 เยน
เฉลี่ย 1,182 เยน ต่อคน

Kamen Rider W&D
เฉลี่ย 1,550,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 292 โรง
จำนวนผู้ชม 395,984 คน
รายได้รวม 452,612,800 เยน
เฉลี่ย 1,142 เยน ต่อคน

Kamen Rider DCD + Shinkenger
เฉลี่ย 1,380,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 345 โรง
จำนวนผู้ชม 399,779 คน
รายได้รวม 477,479,400 เยน
เฉลี่ย 1,194 เยน ต่อคน

Tales of Vesperia
เฉลี่ย 1,280,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 34 โรง
จำนวนผู้ชม 30,956 คน
รายได้รวม 43,589,300 เยน
เฉลี่ย 1,408 เยน ต่อคน

Duelmasters + Penguin
เฉลี่ย 1,260,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 156 โรง
จำนวนผู้ชม 199,433 คน
รายได้รวม 196,266,850 เยน
เฉลี่ย 984 เยน ต่อคน

Fresh Precure movie
เฉลี่ย 1,070,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 159 โรง
จำนวนผู้ชม 166,108 คน
รายได้รวม 170,269,700 เยน
เฉลี่ย 1,025 เยน ต่อคน

Doraemon movie 2009
เฉลี่ย 1,020,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 364 โรง
จำนวนผู้ชม 335,738 คน
รายได้รวม 372,918,850 เยน
เฉลี่ย 1,110 เยน ต่อคน

Summer Wars
เฉลี่ย 1,000,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 127 โรง
จำนวนผู้ชม 109,250 คน
รายได้รวม 127,538,200 เยน
เฉลี่ย 1,167 เยน ต่อคน

Gurren Lagann movie 2
เฉลี่ย 990,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 28 โรง
จำนวนผู้ชม 18,000 คน
รายได้รวม 27,840,000 เยน
เฉลี่ย 1,546 เยน ต่อคน

Up
เฉลี่ย 960,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 653 โรง
จำนวนผู้ชม 440,804 คน
รายได้รวม 627,726,600 เยน
เฉลี่ย 1,424 เยน ต่อคน

Taka no tsume 3
เฉลี่ย 940,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 29 โรง
จำนวนผู้ชม 19,089 คน
รายได้รวม 27,209,700 เยน
เฉลี่ย 1,425 เยน ต่อคน

Naruto hi no ishi
เฉลี่ย 720,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 266 โรง
จำนวนผู้ชม 183,287 คน
รายได้รวม 191,705,700 เยน
เฉลี่ย 1,045 เยน ต่อคน

Bleach Fade to Black
เฉลี่ย 640,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 239 โรง
จำนวนผู้ชม 137,996 คน
รายได้รวม 152,694,000 เยน
เฉลี่ย 1,107 เยน ต่อคน

Keroro DW
เฉลี่ย 580,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 168 โรง
จำนวนผู้ชม 88,663 คน
รายได้รวม 98,105,100 เยน
เฉลี่ย 1,106 เยน ต่อคน

Bolt
เฉลี่ย 520,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 482 โรง
จำนวนผู้ชม 192,413 คน
รายได้รวม 254,318,150 เยน
เฉลี่ย 1,322 เยน ต่อคน

Crayon Shin-chan yasei oukoku
เฉลี่ย 520,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 323 โรง
จำนวนผู้ชม 149,202 คน
รายได้รวม 166,946,150 เยน
เฉลี่ย 1,119 เยน ต่อคน

Buddha Saitan
เฉลี่ย 520,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 189 โรง
จำนวนผู้ชม 130,185 คน
รายได้รวม 163,017,200 เยน
เฉลี่ย 1,252 เยน ต่อคน

MAJOR yuujou no winning shot
เฉลี่ย 480,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 311 โรง
จำนวนผู้ชม 140,541 คน
รายได้รวม 149,705,150 เยน
เฉลี่ย 1,065 เยน ต่อคน

Hottarake
เฉลี่ย 300,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 211 โรง
จำนวนผู้ชม 51,036 คน
รายได้รวม 64,251,400 เยน
เฉลี่ย 1,259 เยน ต่อคน

Layton movie
เฉลี่ย 290,000 เยน ต่อโรงฉาย
รวมโรงเข้าฉาย 311 โรง
จำนวนผู้ชม 79,477 คน
รายได้รวม 93,180,200 เยน
เฉลี่ย 1,172 เยน ต่อคน

ที่เอามาให้ดูไม่ใช่อนิเมะที่เคยฉายทั้งหมด แต่ก็น่าจะเป็นเรื่องเด่นที่ทำเงินมากๆ ล่ะนะ และจากตอนที่เขียนอยู่นี้พระเจ้า H ของเราก็ทำเงินรวมตลอดสัปดาห์ไป 200 ล้านเยนแล้วจ้า!

ที่มาครับ : http://niceoppai.49.forumer.com/viewtopic.php?f=2&t=1201